ดูกรท่านผู้มีอายุ จะพึงมีอยู่หรือ ปริยายแม้อย่างอื่น ... ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
พึงมี ท่านผู้มีอายุ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งเวทนา เหตุเกิดแห่งเวทนา ความดับเวทนา และ
ปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับเวทนา แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ... มาสู่
พระสัทธรรมนี้ ก็เวทนา เหตุเกิดแห่งเวทนา ความดับเวทนา และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับ
เวทนา เป็นไฉน? ได้แก่เวทนา ๖ หมวดเหล่านี้ คือ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่
โสตสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส
เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส เหตุเกิดเวทนา ย่อมมีเพราะผัสสะเป็นเหตุให้เกิด ความดับเวทนา
ย่อมมีเพราะผัสสะดับ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ คือความเห็นชอบ ... ความตั้งใจชอบ
ชื่อว่าปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับเวทนา ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งเวทนา เหตุเกิดแห่งเวทนา ความดับเวทนา และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับเวทนาอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น ท่าน
ละราคานุสัย ... แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ... มาสู่พระสัทธรรมนี้"
สัมมาทิฏฐิสูตร
กำหนดขันธ์๕ โดยสติปัฏฐาน๔
"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการกำหนดรูปขันธ์ ด้วยกายานุปัสสนา ตรัสการกำหนดเวทนาขันธ์ ด้วยเวทนานุปัสสนา และตรัสการกำหนดวิญญาณขันธ์ ด้วยจิตตานุปัสสนานั่นแหละ ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ เพราะฉะนั้น บัดนี้ เพื่อจะตรัสการกำหนดสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ โดยถือเอาหัวข้อแห่งสัมปยุตตธรรม แสดงธัมมานุปัสสนา จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขุ เป็นอาทิ"
"สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนอัคคิเวสนะ ในสมัยใดเสวยสุขเวทนา สมัยนั้นไม่เสวยทุกขเวทนา ไม่เสวยอทุกขมสุขเวทนา สมัยนั้นย่อมเสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น ดูก่อนอัคคิเวสนะ ในสมัยใดเสวยทุกขเวทนา ฯลฯ เสวยอทุกขมสุขเวทนา สมัยนั้นไม่เสวยสุขเวทนา ไม่เสวยทุกขเวทนา สมัยนั้นย่อมเสวยอทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น ดูก่อนอัคคิเวสนะ แม้สุขเวทนาแลก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา แม้ทุกขเวทนาแล ฯลฯ ดูก่อนอัคคิเวสนะ แม้อทุกขมสุขเวทนาแลก็ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ฯลฯ มีความดับไปเป็นธรรมดา ดูก่อนอัคคิเวสนะ อริยสาวกสดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในเวทนาอันเป็นสุขบ้าง ย่อมเบื่อหน่ายในเวทนาอันเป็นทุกข์บ้าง ย่อมเบื่อหน่ายในเวทนาอันเป็นอทุกขมสุขบ้าง เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า เราหลุดพ้นแล้ว เธอย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่พึงทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก ดังนี้"
..................................................................
อรรถกถาเวทนานุปัสสนานิทเทส
แม้ในเวทนานุปัสสนานิทเทส พึงทราบเช่นเดียวกับคำที่กล่าวแล้วในหนหลัง โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. ก็ในข้อว่า สุขํ เวทนํ เวทยมาโน เป็นต้น คำว่า สุขํ เวทนํ อธิบายว่า เมื่อเสวยสุขเวทนาอันเป็นไปทางกายหรือทางจิต ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา ดังนี้.
ในข้อนี้เปรียบเหมือนทารกทั้งหลาย แม้ยังนอนหงายอยู่ในเวลาที่ดื่มน้ำนมเป็นต้น เมื่อเสวยสุขเวทนา ก็ย่อมรู้ว่าเราเสวยสุขเวทนา ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มิได้ตรัสหมายเอาความรู้เช่นนั้น. ด้วยว่า ความรู้เช่นนั้น ย่อมไม่ละสัตตูปลัทธิ (คือความเห็นว่าเป็นสัตว์) ย่อมไม่เพิกถอนสัตตสัญญา (คือความสำคัญว่าเป็นสัตว์) ทั้งมิใช่กรรมฐาน หรือมิใช่การเจริญสติปัฏฐาน. แต่ความรู้ของภิกษุนี้ย่อมละสัตตูปลัทธิ ย่อมเพิกถอนสัตตสัญญา ทั้งเป็นกรรมฐานด้วยเป็นการเจริญสติปัฏฐานด้วย. เพราะว่า ข้อนี้ ท่านกล่าวหมายเอาการเสวย คือ ความรู้สึกอย่างนี้ว่า ใครเสวยเวทนา เวทนาของใคร เวทนามีอะไรเป็นเหตุ ดังนี้.
ในปัญหาเหล่านั้น ข้อว่า ใครเสวยเวทนา ความว่า ใครๆ คือ สัตว์หรือว่าบุคคลย่อมเสวยเวทนาหามิได้. ข้อว่า เวทนาของใคร ความว่า มิใช่เวทนาของใครๆ ไม่ว่าเป็นสัตว์ หรือบุคคล. ข้อว่า เวทนามีอะไรเป็นเหตุ ความว่า ก็เวทนานั้นแล มีวัตถุเป็นอารมณ์. เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นทราบชัดอย่างนี้ว่า เวทนาเทียว อันเขาย่อมเสวย เพราะทำวัตถุแห่งสุขเป็นต้นนั้นๆ ให้เป็นอารมณ์ แต่เพราะถือเอาความเป็นไปแห่งเวทนานั้น ก็ย่อมเป็นเพียงโวหารว่า เราเสวยเวทนา ดังนี้ ครั้นทำวัตถุให้เป็นอารมณ์อย่างนี้แล้ว เมื่อกำหนดว่า เราเสวยเวทนา ดังนี้ พึงทราบว่าเขาผู้นั้นย่อมทราบชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาอยู่ ดังนี้. เหมือนพระเถระรูปใดรูปหนึ่ง ในจิตตลบรรพต.
ได้ยินว่า พระเถระ ในเวลาที่ท่านไม่สบาย นอนร้องครวญครางอยู่ เพราะเวทนากล้า พลิกกลับไปมา. ภิกษุหนุ่มองค์หนึ่งมาถามท่านว่า ท่านขอรับ ท่านเจ็บปวดตรงไหน. พระเถระตอบว่า ผู้มีอายุ ขึ้นชื่อว่าที่เป็นที่เจ็บปวดอันเป็นส่วนตรงไหน ไม่มี เราเสวยเวทนา เพราะทำวัตถุให้เป็นอารมณ์อย่างนี้. ภิกษุหนุ่มจึงเรียนท่านว่า จำเดิมแต่กาลที่ท่านทราบอย่างนี้ การอดกลั้นไม่ควรหรือขอรับ. พระเถระกล่าวว่า เราจะอดกลั้น. ภิกษุหนุ่มจึงกล่าวว่า การอดกลั้นเป็นการดี. พระเถระอดกลั้นแล้ว ลมแผ่ไปจนถึงหัวใจ ได้ทำลำไส้ให้เป็นก้อนแก่ท่านบนเตียงนอน. พระเถระให้ภิกษุหนุ่มดู แล้วกล่าวว่า ผู้มีอายุ อดกลั้นขนาดนี้ ควรหรือยัง. ภิกษุหนุ่มได้เป็นผู้นิ่ง. พระเถระประกอบวิริยสมาธิแล้วบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา เป็นพระอรหันต์ผู้สมสีสี (ผู้มีที่สุดเสมอกัน คือการสิ้นชีวิตพร้อมกับการบรรลุพระอรหัต) ปรินิพพานแล้ว.
ก็สุขเวทนาฉันใด ทุกขเวทนา ฯลฯ เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ฉันนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสรูปกรรมฐานแล้ว เมื่อจะตรัสอรูปกรรมฐานอย่างนี้ จึงตรัสด้วยสามารถแห่งเวทนา.
จริงอยู่ กรรมฐานมี ๒ คือรูปกรรมฐานและอรูปกรรมฐาน. กรรมฐานนั้นนั่นแหละ ตรัสว่า รูปปริคฺคโห (คือการกำหนดรูป) บ้าง อรูปปริคฺคโห (คือ การกำหนดอรูป) บ้าง. ในกรรมฐาน ๒ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสรูปกรรมฐานจึง ตรัสการกำหนดธาตุ ๔ ด้วยสามารถแห่งมนสิการโดยสังเขปบ้าง โดยพิสดารบ้าง. การมนสิการแม้ทั้ง ๒ นั้น ข้าพเจ้าก็แสดงไว้โดยอาการทั้งปวงในวิสุทธิมรรคนั่นแหละ. พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสอรูปกรรมฐาน ย่อมตรัสด้วยสามารถแห่งเวทนาโดยมาก.
อนึ่งความถือมั่นในอรูปกรรมฐานมี ๓ อย่าง คือด้วยสามารถแห่งผัสสะ ๑ ด้วยสามารถแห่งเวทนา ๑ และด้วยสามารถแห่งจิต ๑ คืออย่างไร? คือว่า ก็เมื่อพระโยคาวจรกำหนดรูปกรรมฐานโดยสังเขปหรือโดยพิสดาร การที่จิตและเจตสิกตกไปในอารมณ์ครั้งแรกนั้น ผัสสะอันกระทบซึ่งอารมณ์นั้นก็เกิดขึ้น ปรากฏแก่พระโยคาวจรบางรูป. พระโยคาวจรทั้งหลายย่อมเสวยอารมณ์นั้น เวทนาเมื่อเกิดขึ้นก็ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรบางรูป. วิญญาณอันเกิดขึ้นกำหนดรู้อารมณ์นั้นอยู่ ก็ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรบางรูป.
ในความถือมั่น ๓ อย่างนั้น ผัสสะย่อมปรากฏแก่ภิกษุใด แม้ภิกษุนั้นย่อมกำหนดธรรมหมวด ๕ มีผัสสะเป็นต้นทีเดียวว่า "มิใช่ผัสสะอย่างเดียวเท่านั้นย่อมเกิดขึ้น แม้เวทนาอันเสวยอยู่ซึ่งอารมณ์นั่นแหละ ก็เกิดขึ้นพร้อมด้วยผัสสะนั้น แม้สัญญาอันจำซึ่งอารมณ์นั้น แม้เจตนาอันคิดซึ่งอารมณ์นั้น แม้วิญญาณอันรู้แจ้งซึ่งอารมณ์นั้น ก็ย่อมเกิดขึ้นด้วยผัสสะนั้น ดังนี้ เวทนาย่อมปรากฏแก่ภิกษุใด แม้ภิกษุนั้นก็ย่อมกำหนดธรรมหมวด ๕ มีผัสสะเป็นต้นนั่นแหละว่า มิใช่เวทนาอย่างเดียวเท่านั้นเกิดขึ้น แม้ผัสสะอันกระทบอยู่ซึ่งอารมณ์นั้นนั่นแหละย่อมเกิดขึ้นกับเวทนานั้น แม้สัญญาอันจำซึ่งอารมณ์นั้น แม้เจตนาอันคิดซึ่งอารมณ์นั้น แม้วิญญาณอันรู้แจ้งซึ่งอารมณ์นั้น ก็ย่อมเกิดขึ้นกับเวทนานั้น ดังนี้. วิญญาณย่อมปรากฏแก่ภิกษุใด แม้ภิกษุนั้นก็ย่อมกำหนดธรรมหมวด ๕ มีผัสสะเป็นต้นนั่นแหละว่า มิใช่วิญญาณอย่างเดียวเท่านั้นเกิดขึ้น แม้ผัสสะอันกระทบอยู่ซึ่งอารมณ์นั้นนั่นแหละ ย่อมเกิดขึ้นกับวิญญาณนั้น แม้เวทนาอันเสวยอยู่ซึ่งอารมณ์นั้น แม้สัญญาอันจำซึ่งอารมณ์นั้น แม้เจตนาอันคิดซึ่งอารมณ์นั้น ก็ย่อมเกิดขึ้นกับวิญญาณนั้น ดังนี้.
เมื่อภิกษุนั้นใคร่ครวญอยู่ว่า ธรรมหมวด ๕ มีผัสสะเป็นต้นเหล่านี้อาศัยอะไร ดังนี้ เธอย่อมทราบชัดว่า อาศัยวัตถุ ขึ้นชื่อว่าวัตถุ ก็คือกรชกาย ท่านกล่าวหมายเอาวัตถุคือกรชกายในที่นี้ไว้ว่า ก็แล วิญญาณของเรานี้อาศัยในกรชกายนี้เกี่ยวเนื่องในกรชกายนี้ ดังนี้ เมื่อว่าโดยอรรถ กรชกายนั้นคือมหาภูตรูปและอุปาทารูปทั้งหลาย.
ในข้อนี้ พระโยคาวจรย่อมเห็นนามรูปนั่นแหละอย่างนี้ว่า วัตถุเป็นรูปธรรมหมวด ๕ มีผัสสะเป็นต้น เป็นนามดังนี้. รูปในที่นี้ก็คือรูปขันธ์ นามก็คืออรูปขันธ์ ๔ เพราะฉะนั้น นามรูป จึงเป็นเพียงขันธ์ ๕ เพราะว่า ขันธ์ ๕ นอกจากนามรูป หรือว่า นามรูป นอกจากขันธ์ ๕ ย่อมไม่มี. ภิกษุนั้นใคร่ครวญอยู่ว่า ขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้น มีอะไรเป็นเหตุ ดังนี้ ย่อมเห็นว่า มีอวิชชาเป็นต้น เป็นเหตุ ในลำดับนั้น จึงยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ ด้วยสามารถแห่งนามรูป พร้อมด้วยปัจจัยว่า นี้เป็นปัจจัย นี้เป็นปัจจยุปบัน (คือธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัย) สัตว์หรือว่าบุคคลอื่นไม่มี มีแต่เพียงกองแห่งสังขารล้วนๆ เท่านั้น ดังนี้ พิจารณาเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยลำดับแห่งวิปัสสนา เที่ยวไปอยู่. หวังอยู่ซึ่งการแทงตลอดว่า ในวันนี้ ในวันนี้ ดังนี้ ก็หรือว่า เธอได้อุตุสัปปายะ ปุคคลสัปปายะ โภชนสัปปายะและธัมมัสสวนสัปปายะ ในวันเช่นนั้นแล้ว นั่งโดยบัลลังก์เดียวนั่นแหละ ยังวิปัสสนาให้ถึงที่สุดแล้วดำรงอยู่ในพระอรหัต. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกรรมฐานแก่ชนแม้ทั้ง ๓ เหล่านี้ จนถึงพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.
ก็แล ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสอรูปกรรมฐาน ก็ตรัสไว้ด้วยสามารถแห่งเวทนา. จริงอยู่ อรูปกรรมฐานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ ด้วยสามารถแห่งผัสสะหรือด้วยสามารถแห่งวิญญาณ ย่อมไม่ปรากฏ คล้ายกับความมืด เพราะกรรมฐานนั้นย่อมปรากฏด้วยสามารถแห่งเวทนา.
ถามว่า เพราะเหตุไร?
ตอบว่า เพราะความเกิดขึ้นแห่งเวทนาทั้งหลาย ย่อมปรากฏ เพราะว่า ความเกิดขึ้นแห่งสุขเวทนาและทุกขเวทนาทั้งหลายปรากฏอยู่ คือในกาลใด สุขเวทนาเกิดขึ้น ทำให้สรีระทั้งสิ้นกระเพื่อมอยู่ สั่นไหวอยู่ ซาบซ่านแผ่ไปอยู่ เป็นราวกะให้เคี้ยวกินเนยใสอันชำระแล้วตั้งร้อยครั้ง ราวกะให้ดับอยู่ซึ่งความเร่าร้อนด้วยน้ำตั้งพันหม้อ ย่อมให้เปล่งวาจาว่า สุขหนอ สุขหนอ ดังนี้. ในกาลใด ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็ทำให้สรีระทั้งสิ้นกระเพื่อมอยู่ สั่นไหวอยู่ ซาบซ่านแผ่ไปอยู่ เป็นราวกะเข้าไปสู่กระเบื้องที่ร้อน ราวกะราดอยู่ด้วยน้ำทองแดงที่ละลายแล้ว ราวกะกำคบเพลิงไม้ที่ใส่เข้าไปในหญ้าและต้นไม้ใหญ่ที่แห้งในป่า ทำให้บ่นเพ้อรำพันอยู่ว่า ทุกข์จริง ทุกข์จริง ดังนี้. ความเกิดขึ้นแห่งสุขเวทนาและทุกขเวทนา ย่อมปรากฏดังพรรณนามาฉะนี้.
ส่วนอทุกขมสุขเวทนา ชี้แจงให้เห็นได้โดยยาก ไม่แจ่มแจ้งดังความมืด. แต่ย่อมปรากฏแก่ผู้ถือเอาโดยนัยว่า อทุกขมสุขเวทนานั้นเป็นอาการปานกลาง ด้วยสามารถแห่งการปฏิเสธความยินดีและยินร้าย เพราะความสุขและความทุกข์ปราศจากไป. เปรียบเหมือน นายพรานเนื้อตามรอยเท้าเนื้อตัวที่หนีขึ้นไปบนระหว่างแผ่นหิน ในเวลาอื่นพบรอยเท้าเนื้อที่ฝั่งนี้ของแผ่นหิน แม้ไม่เห็นรอยเท้าในท่ามกลาง ก็จะทราบได้โดยนัยว่า เนื้อนี้ขึ้นไปจากที่ตรงนี้ ลงมาจากที่ตรงโน้น ในท่ามกลาง มันจักไปบนแผ่นหินโดยประเทศตรงนี้ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้น เพราะว่า ความเกิดขึ้นแห่งสุขเวทนาย่อมปรากฏเป็นราวกะว่า รอยเท้าในที่เป็นที่ขึ้นไป ความเกิดขึ้นแห่งทุกขเวทนาย่อมปรากฏเป็นราวกะว่า รอยเท้าในที่เป็นที่ก้าวลง อทุกขมสุขเวทนานี้ย่อมปรากฏแก่ผู้ถือเอาโดยนัยว่า อทุกขมสุขเวทนาเป็นอาการปานกลาง ด้วยสามารถแห่งการปฏิเสธความยินดีและยินร้าย ในเพราะการปราศจากสุขและทุกขเวทนา ราวกะการถือเอาโดยนัยว่า เนื้อนี้ขึ้นไปบนแผ่นหินตรงนี้ ลงไปตรงโน้น ในท่ามกลางมันจะเดินไปตรงนี้ ฉะนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสรูปกรรมฐานก่อนแล้ว เมื่อจะตรัสอรูปกรรมฐานในภายหลังอย่างนี้ จึงทรงยักย้ายเปลี่ยนไปแสดงด้วยสามารถแห่งเวทนา. ก็พระองค์ทรงแสดงอย่างนี้ ในสติปัฏฐานวิภังค์นี้อย่างเดียวเท่านั้น หามิได้ ทรงแสดงรูปกรรมฐานก่อนแล้ว ทรงแสดงอรูปกรรมฐานยักย้ายไปด้วยสามารถแห่งเวทนาในภายหลัง ในสูตรทั้งหลายเป็นเอนก คือในทีฆนิกาย มีมหานิทานสูตร สักกปัญหสูตร มหาสติปัฏฐานสูตร ในมัชฌิมนิกาย มีสติปัฏฐานสูตร จุลลตัณหาสังขยสูตร มหาตัณหาสังขยสูตร จุลลเวทัลลสูตร รัฏฐปาลสูตร มาคันทิยสูตร ธาตุวิภังค์ อาเนญชสัปปายสูตร ในสังยุตตนิกาย มีจุลลนิทานสูตร รุกโขปมสูตร ปริวิมังสนสูตร สกลเวทนาสังยุตตสูตรทั้งหลาย. ก็ในสติปัฏฐานวิภังค์แม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรูปกรรมฐานก่อน แล้วทรงยักย้ายแสดงอรูปกรรมฐาน ด้วยสามารถแห่งเวทนาในภายหลังเช่นในสูตรเหล่านั้นๆ แล.
ในคำว่า เมื่อเสวยสุขเวทนา เป็นต้นนั้น พึงทราบปริยายแห่งการรู้อีกอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้.
ข้อว่า ก็รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนา อธิบายว่า ภิกษุนั้นเสวยอยู่ซึ่งสุขเวทนา ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยอยู่ซึ่งสุขเวทนา เพราะความไม่มีทุกขเวทนาในขณะแห่งสุขเวทนา ด้วยเหตุนั้น ในข้อนั้น เขาผู้นั้นย่อมทราบในที่นี้ว่า เพราะทุกขเวทนาอันใดเคยมีมาก่อน บัดนี้ ทุกขเวทนาอันนั้นมิได้มี และเพราะไม่มีเวทนาอื่นจากสุขเวทนานี้ ขึ้นชื่อว่าเวทนา จึงเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ดังนี้.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนอัคคิเวสนะ ในสมัยใดเสวยสุขเวทนา สมัยนั้นไม่เสวยทุกขเวทนา ไม่เสวยอทุกขมสุขเวทนา สมัยนั้นย่อมเสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น ดูก่อนอัคคิเวสนะ ในสมัยใดเสวยทุกขเวทนา ฯลฯ เสวยอทุกขมสุขเวทนา สมัยนั้นไม่เสวยสุขเวทนา ไม่เสวยทุกขเวทนา สมัยนั้นย่อมเสวยอทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น ดูก่อนอัคคิเวสนะ แม้สุขเวทนาแลก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา แม้ทุกขเวทนาแล ฯลฯ ดูก่อนอัคคิเวสนะ แม้อทุกขมสุขเวทนาแลก็ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ฯลฯ มีความดับไปเป็นธรรมดา ดูก่อนอัคคิเวสนะ อริยสาวกสดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในเวทนาอันเป็นสุขบ้าง ย่อมเบื่อหน่ายในเวทนาอันเป็นทุกข์บ้าง ย่อมเบื่อหน่ายในเวทนาอันเป็นอทุกขมสุขบ้าง เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า เราหลุดพ้นแล้ว เธอย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่พึงทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก ดังนี้.
ในคำว่า หรือเมื่อเสวยสุขเวทนามีอามิสเป็นต้น พึงทราบว่า เคหสิตโสมนัสเวทนา ๖ ที่อาศัยอามิส คือ กามคุณ ๕ ชื่อว่าสุขเวทนามีอามิส. เนกขัมมสิตโสมนัส ๖ ชื่อว่าสุขเวทนาไม่มีอามิส. เคหสิตโทมนัสเวทนา ๖ ชื่อว่าทุกขเวทนามีอามิส. เนกขัมมสิตโทมนัสเวทนา ๖ ชื่อว่าทุกขเวทนาไม่มีอามิส. เคหสิตอุเบกขาเวทนา ๖ ชื่อว่าอทุกขสุขเวทนามีอามิส. เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา ๖ ชื่อว่าอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส. การจำแนกเวทนาเหล่านั้นมาแล้วในบาลีอุปริปัณณาสก์แล.
คำว่า โส ตํ นิมิตฺตํ ได้แก่ ภิกษุนั้น... ซึ่งนิมิตแห่งเวทนานั้น.
คำว่า พหิทฺธา เวทนาสุ (ในเวทนาภายนอก) คือ ในเวทนาทั้งหลายของบุคคลอื่น.
คำว่า สุขํ เวทนํ เวทยมานํ คือ รู้บุคคลอื่นกำลังเสวยสุขเวทนา.
คำว่า อชฺฌตฺตพหิทฺธา (ทั้งภายในและภายนอก) คือ ย่อมน้อมจิตเข้าไปในเวทนาทั้งหลายของตนตามกาลสมควร ของผู้อื่นตามกาลสมควร เพราะในวาระนี้ มิได้กำหนดตน มิได้กำหนดผู้อื่น ฉะนั้น เพื่อทรงแสดงเพียงการกำหนดเวทนาเท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุในศาสนานี้ เมื่อเสวยสุขเวทนา ฯลฯ ข้อความที่เหลือในที่นี้ ง่ายทั้งนั้น. ในข้อนี้ ท่านกล่าววิปัสสนาไว้ล้วนๆ แล.
อรรถกถาเวทนานุปัสสนานิทเทส จบ.
แม้ในจิตตานุปัสสนานิทเทส พึงทราบเช่นกับคำที่กล่าวแล้วในหนหลัง โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ.
ก็ในข้อว่า สราคํ วา จิตฺตํ เป็นต้น บทว่า สราคํ คือ จิตสหรคตด้วยโลภะ ๘ อย่าง.
บทว่า วีตราคํ คือ จิตเป็นกุศลและอัพยากตะฝ่ายโลกีย์. แต่เพราะการพิจารณานี้ ไม่ใช่ธรรมสโมธานฉะนั้น จึงไม่ได้โลกุตรจิตแม้สักบทเดียวในที่นี้. อกุศลจิตเหล่าใด เป็นไปกับด้วยราคะเป็นต้น อันพระโยคาวจรย่อมละได้ ด้วยสามารถแห่งอรรถอันหนึ่ง คือปหานะ อกุศลจิตเหล่านั้น ท่านก็ไม่ถือเอา เพราะไม่ได้ในบททั้งสองนี้โดยตรง. อกุศลจิต ๔ ที่เหลือไม่เกี่ยวกับบทหน้าและบทหลัง.
บทว่า สโทสํ คือ จิตสหรคตด้วยโทมนัส ๒ อย่าง.
บทว่า วีตโทสํ คือ จิตที่เป็นกุศลและอัพยากตะฝ่ายโลกีย์. อกุศลจิต ๑๐ ที่เหลือ ไม่เกี่ยวกับบทหน้าและบทหลัง.
บทว่า สโมหํ ได้แก่ จิต ๒ อย่าง คือ จิตที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและจิตที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ. แต่เพราะโมหะย่อมเกิดขึ้นในอกุศลจิตทั้งปวงฉะนั้น อกุศลจิต แม้ที่เหลือย่อมเป็นไปในที่นี้ทั้งหมด เพราะว่า อกุศลจิต ๑๒ ท่านถือเอาแล้วในทุกะนี้เหมือนกัน.
บทว่า วีตโมหํ คือ จิตที่เป็นกุศลและอัพยากตะฝ่ายโลกีย์.
บทว่า สํขิตฺตํ คือ จิตที่ตกไปในถีนมิทธะ (คือความซบเซา). จริงอยู่ จิตนั้นชื่อว่าหดหู่แล้ว.
บทว่า วิกฺขิตฺตํ คือ จิตที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ. จริงอยู่ จิตนั้นชื่อว่าจิตซ่านไปแล้ว.
บทว่า มหคฺคตํ คือ รูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิต.
บทว่า อมหคฺคตํ คือ กามาวจรจิต.
บทว่า สอุตฺตรํ คือ กามาวจรจิต.
บทว่า อนุตฺตรํ คือ รูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิต. อีกอย่างหนึ่งในจิตทั้งสองนี้ สอุตตรจิตได้แก่รูปาวจรจิต และอนุตตรจิตได้แก่อรูปาวจรจิต นั่นแหละ.
บทว่า สมาหิตํ ได้แก่ จิตของผู้มีอัปปนาสมาธิ หรืออุปจารสมาธิ.
บทว่า อสมาหิตํ คือ จิตที่เว้นจากสมาธิทั้งสอง.
บทว่า วิมุตฺตํ คือ จิตที่หลุดพ้นแล้ว ด้วยตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ.
บทว่า อวิมุตฺตํ คือ จิตที่เว้นจากวิมุตติทั้งสอง ส่วนสมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติและนิสสรณวิมุตติ ไม่มีโอกาสในที่นี้.
ข้อว่า สราคมสฺส จิตฺตํ ได้แก่ จิตของเขาผู้นั้นมีราคะ. คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยตามที่กล่าวไว้แล้วในหนหลัง. ในข้อแม้นี้ ท่านก็กล่าววิปัสสนาล้วนๆ ฉะนี้แล.
อรรถกถาจิตตานุปัสสนานิทเทส จบ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการกำหนดรูปขันธ์ ด้วยกายานุปัสสนา ตรัสการกำหนดเวทนาขันธ์ ด้วยเวทนานุปัสสนา และตรัสการกำหนดวิญญาณขันธ์ ด้วยจิตตานุปัสสนานั่นแหละ ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ เพราะฉะนั้น บัดนี้ เพื่อจะตรัสการกำหนดสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ โดยถือเอาหัวข้อแห่งสัมปยุตตธรรม แสดงธัมมานุปัสสนา จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขุ เป็นอาทิ.
อรรถกถาเวทนานุปัสสนานิทเทส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น