ที่ผ่านมาโลกเป็นโรงเรียนให้จิตวิญญาณของเราทุกคน
ให้มาเล่น มาเรียนรู้ มาหาประสบการณ์ชีวิตการเป็นมนุษย์
แต่ปัญหาคือพวกเราหลงลืมตัวของพวกเราจนเกินไป
หลงทางหาทางกลับบ้านไม่ถูก ยึดติดกับวัตถุมากกว่าจิตวิญญาณ
ความสันสะเทือนของโลกจึงลดต่ำลงมาสู่มิติที่ 3
จากที่เคยอยู่ในมิติที่ 5 มาก่อนเมื่อครั้งกระโน้น
กระทั่งโลกมิติที่ 3 ไม่สามารถจะดำเนินต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะมนุษย์ส่วนมากในอดีตขาดจิตสำนึกทำลายวงจรธรรมชาติอย่างรุนแรง แต่แทนที่จะปล่อยให้โลกถูกทำลายลงไปน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง จากสงครามและภัยพิบัติที่ไม่ใช่ธรรมชาติสร้างขึ้น
จักรวาลได้ทำการเปลื่ยนแผนใหม่ ด้วยการร้องขอจากผู้ดูแลรักษาโลก ที่ขอให้เก็บโลกนี้ไว้ เพื่อให้เป็นห้องเรียนของจิตวิญญาณต่อไป ซึ่งมันก็มีทางเดียว คือการเปลื่ยนโลกนี้ให้เป็นมิติที่ 5 ให้เป็นโลกแห่งความรักที่ปราศจากเงื่อนไข...จึงมีการวางแผนและเตรียมการมายาวนานพอสมควร (แต่ในความเป็นจริง อดีต-อนาคตเกิดขึ้นพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน)
ในขณะที่โลกค่อยๆเคลื่อนที่ผ่าน Photon Belt หรือแถบของพลังงานแกมม่าบริสุทธิ์ที่เข้มข้น เพื่อฟื้นฟู หรือทำการ format disc ใส้ข้อมูลใหม่ และกำจัดพลังงานด้านลบให้หมดสิ้นไป
ร่างกายมนุษย์กำลังได้รับการป้อนข้อมูลใหม่ตามรหัสพิมพ์เขียวดั้งเดิม ผลกรรมจะได้รับการชำระผ่านตระแกรงร่อน (คัดหยกออกจากหิน) รวมทั้งร่างกายเราก็จะถูกเปลื่ยนจากธาตุ Carbon based ไปเป็น silica และ Crystal liquid-light ใปสู่ในมิติที่สูงขึ้นไป เป็นการเปลื่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เหมือนอัฐฐิธาติของพระปฎิบัติที่เปลื่ยนเป็นแก้วใส (ในมิติที่มีความหนาแน่นสูงๆเราจะไม่ได้หายใจทางจมูกกันแล้ว แต่จะหายใจกันทางกระหม่อมแทน)
พอดีมีบางท่านสงสัยว่า ทำไมต้องกระโดดข้ามจากมิติที่3 ไปมิติที่ 5 เลย มิติที่ 4 หายไปไหน ขออธิบายดังนี้นะครับ "มิติ"เป็นเรื่องความหนาแน่น ( Density) และระดับความสั่นสะเทือน ไล่เรียงแบบย่อๆได้ประมาณนี้ครับ
โลกมิติที่ 1 โลกของแร่ธาตุและคริสตัล
โลกมิติที่ 2 โลกของสรรพสัตว์และพืช
โลกมิติที่ 3 โลกที่พวกเราอาศัยอยู่ในตอนนี้ ( รูปธรรมมนุษย์)
โลกมิติที่ 4 ตระหนักรู้ เกี่ยวกับความสงบสุข (โลกแห่งความฝัน มิติคู่ขนาน)
โลกมิติที่ 5 ตระหนักรู้ เกี่ยวกับความรักอย่างไร้เงื่อนไข (รูปธรรมแห่งแสงสว่าง)
โลกมิติที่ 6 ตระหนักรู้ ว่าทุกสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน (เป็นมิติของการวางแผนก่อนที่จะลงมาเกิด)
โลกมิติที่ 7 ตระหนักรู้ ถึงตัวตนรวม การเข้าถึงความเป็นพระเจ้าภายใน (Nirvana)
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามิติที่ 4 เป็นเหมือนช่องว่างระหว่างภพภูมิ จิตวิญญาณที่หลงทางมักจะติดอยู่แถวๆนี่ เป็นจุดประสานมิติ ตาเรามองไม่เห็นแต่มีอยู่
ในความเป็นจริง มิติต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่ช้อจำกัด อย่าไปติดที่เรื่องมิติกันนะครับ เพราะแม้ร่างกายของพวกเราอยู่ในมิติที่ 3 หรือมิติที่ 5 แต่ใจของเราจะอยู่ในมิติไดๆก็ได้ ไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของมิติที่ 3 หรือ 5 เช่นพระพุทธเจ้า หรือพระเยซูร่างกายท่านดำรงอยู่ในมิติที่ 3 แต่ใจของท่านอยู่ในโลกมิติที่ 7 หรือสูงกว่านั้นขึ้นไป คือเป็นอิสระจากทุกๆมิตินั่นเอง
มิติที่ 5 จึงมิใช่จุดหมายสูงสุด ยังมีสูงกว่านั้น....
มิติที่สูงกว่านั้นจะเป็นจิตสำนึกระดับจักรวาล ระบบสุริยะ/กาแล็คซี่ มิติของการสร้างการกำกับดูแล (ซึ่งจะไม่พูดถึงตรงนั้นครับ)
เราทุกคนต่างก็เป็นเสี้ยวหนึ่งของแสงสว่าง
ขอแต่เรามองเห็นแสงที่งดงามตามความเป็นจริง ให้ถือเป็นหน้าที่ทีจะดูแลแสงสว่างของตนเอง หาประกายฝันของตัวเองให้พบแล้วฉายแสงให้สว่างสุกใส อย่าพยายามเยียวยาโลก อย่าพยายามเปลี่ยนทุกอย่างที่เป็นอยู่ ปล่อยให้เป็นขั้นตอนต่างๆเพื่อเดินหน้าหรือถอยหลัง หากมันจะต้องเป็นไปเช่นนั้น จงฉายแสงให้เจิดจ้า กล้าที่จะกระพริบแสง อยากเป็นแสงสีอะไรก็จัดการไปเลย เอาให้สดใสงดงาม...นั่นคือพลังของเราทุกๆคน
หมายเหตุ* ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นความรู้ที่ได้จากข้อความต่างมิติที่ทีมงานช่วยกันแปลมาตั้งแต่ปี 2008 และที่ได้ศีกษาด้วยตัวเองอีกส่วนนึงครับ
******************************
การมีชีวิตที่เราเป็นเจ้าของนั้น เหมือนเรือในทะเล
เธอไม่มีลิมิตชีวิตจะทำอะไรก็ได้
แต่ความรับผิดชอบเป็นตัวรักษาสมดุลที่มากับชีวิตอิสระนี้
เธอต้องรับผิดชอบกับน้ำกระเด็นหลังเรือว่าไปโดนใคร
คือเธอต้องรักษาสมดุลย์ระหว่างการใช้พลังของเธอในขณะที่ใช้ชีวิต
ให้สอดคล้องกับนาวาชีวิตลำอื่นของผู้อื่นด้วย
ครายออน
******************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น