โลกที่เราอาศัยอยู่ อยู่ใน”ระบบสุริยะ”(มีพระอาทิตย์ เป็นศูนย์กลาง มี ดาวเคราะห์ 8 ดวง และดวงจันทร์มากกว่า 48 ดวง รายล้อม)...หลายๆระบบสุริยะ...รวมกัน มีดวงดาว เป็นแสนเป็นล้านดวง เรียก “กาแลกซี่” เช่น กาแลกซี่ทางช้างเผือก (ที่โลกเราอาศัยอยู่)..กาแลกซี่มีดดาบ(ตั้งชื่อตามรูปร่าง)..และใจกลางกาแลกซี่ ย่อมมีหลุมดำ..(จะดึงดูดดาว วัตถุที่เข้าใกล้ให้หายไปในความมืด)
..หลายๆ กาแลกซี่..รวมกัน เรียก “กลุ่มดาราจักร”..หลายๆ ดาราจักรเป็นหมื่น เป็นล้านดาราจักร รวมกัน เรียกว่า “๑ .จักรวาล..” หรือ ..”เอกภพ.”
..*ดังนั้น จักรวาล ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้กล้องโทรทัศน์ส่อง และคาดคะเน จึงมีพื้นที่ ขนาดใหญ่สุด จนไม่สามารถกำหนดขอบเขตได้ …ในนั้น มี ทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ดาวหาง ดาวตก อุกกาบาต หลุมดำ วัตถุ ฝุ่นละออง ก๊าช สรรพสิ่ง ..นั่นคือ เพียง 1 จักรวาลเท่านั่น
**..เมื่อ 2500 กว่าปี มีมหาบุรุษ นามว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดม ผู้มีสัพพัญญูตญาณ ได้พูดถึงจักรวาล เกินที่นักวิทยาศาสตร์จะคาดถึง พระพุทธองค์พูดตั้งแต่วัตถุหยาบๆ ในจักรวาล และ สิ่งที่เป็นทิพย์ ที่ตามนุษย์ และ กล้องโทรทัศน์ มองไม่เห็น
..พระพุทธองค์ไม่ได้อาศัย กล้องโทรทัศน์ที่ไหน เพียงใช้กล้องจิตที่บริสุทธิ์ จิตที่คลอบโลกธาตุ คลอบทั้ง 3 โลก จิตที่เปี่ยมมหาบารมี มหาวิชชา เพียงแค่นึกจะรู้ ก็รู้โดยอัตโนมัติ รู้โดยถูกต้อง รู้โดยแจ่มแจ้ง รู้โดยไม่มีอะไรขวางกั้นได้.. พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า
“ ดูกร อานนท์ 1 จักรวาล คือ อาณาเขต ที่แสงของพระอาทิตย์ พระจันทร์ส่องไปถึง(รวมทั้งดวงดาวต่างๆ)..ในนั้นยังมี สิ่งที่เป็นทิพย์ คือ เขาสุเนรุ ทวีปทั้งสี่ มีมหาสมุทร มีเทวโลก๖ ชั้น พรหมโลก(รวมอรูปพรหม)
..เมื่อ จักรวาลเป็นพันๆจักรวาล รวมกันขึ้นไป เรียก “โลกธาตุขนาดเล็ก”
..เมื่อ จักรวาลเป็นล้านๆจักรวาล รวมกันขึ้นไป เรียก “โลกธาตุขนาดกลาง”
...เมื่อ จักรวาลเป็นแสนโกฏจักรวาล รวมกันขึ้นไป เรียก “โลกธาตุขนาดใหญ่”
ดูกร อานนท์ ตถาคต สามารถเปล่งเสียงไปได้ไกล เป็นแสนโกฏจักรวาล
**แม้ว่า โลกธาตุ จะกว้างใหญ่กว่าจักรวาล และในที่สุดแล้ว ทั้งโลกธาตุ จักรวาล ดวงดาว สรรพสิ่ง ทั้ง โลกหยาบ โลกทิพย์ ก็ไม่พ้นตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ มีการก่อเกิด เปลี่ยนแปลง และเสื่อมสลายไป วนเวียนไปเช่นนี้ ไม่มีสิ้นสุด..จะขนาดเล็ก หรือ ใหญ่ .ย่อมสลายหายไป..แล้วย้อนคืน..เป็นเช่นนั้นเอง
ที่มา มโนธาตุ โพธิญาณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น